ในการเล่นเกมรูเล็ตนั้น ทาวเลือกทั่วไปที่นิยมเล่นกันคือการเลือกแทงแบบ 50-50 เช่นการเลือกแทงสีแดงหรือดำ และการเลือกแทงเลขคู่เลขคี่ ซึ่งมีโอกาสชนะใครเคียงกับ 50% และมีการจ่ายเงินแบบเท่าตัว ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลและจับต้องได้จริง นิยมนำมาใช้เล่นกับวิธีการแบบมาร์ติงเกลดั้งเดิม ที่ทำการคูณเงินพนันขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวทุกครั้งที่แพ้ และส่วนมากก็จะแพ้ติดต่อกันได้ประมาณ 7-8 เกมก่อนที่วงเงินจะหมดกัน หากว่าเริ่มเล่นที่ 50 หน่วยโดยประมาณ
ข้อดีของวิธีพื้นฐานนี้คือผู้เล่นสามารถระบุจำนวนเกมที่ต้องการชนะได้อย่างตายตัว เพราะทุกเกมที่ชนะจะได้เงินกลับมาเท่าๆกัน เช่นถ้าหากอยากได้กลับมา 500 หน่วยก็ต้องชนะ 10 เกมด้วยเงินเริ่มแรก 50 หน่วยโดยที่สามารถแพ้ชนะสลับกันไปมากเท่าไหร่ก็ได้ หากว่าไม่ได้แพ้ติดต่อกันจนถึงจำนวนเกมที่ระบุ แต่ว่าอีกวิธีการที่ใกล้เคียงกันและสามารถใช้มาร์ติงเกลมาเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือการเลือกแทงแบบชุด หรือแถวที่เป็นการเลือกแทงแบบ 1 ใน 3 ส่วนของช่องทั้งหมด ซึ่งวิธีนี่ ในความรู้สึกของผุ้เล่นแล้ว แทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ระหว่างการเล่นในตัวเลือกที่มีโอกาสชนะ 50% กับทางเลือกนี้ที่มีโอกาสชนะอยุ่ที่ 33% แต่กลับกัน ในเรื่องของการจ่ายเงินกลับคืนมา จะให้เงินมากถึงสามเท่าตัวจากเงินพนัน
เมื่อนำมาใช้กับมาร์ติงเกล โดยการคูณสองเท่าของเงินต้นเข้าไปทุกครั้งที่แพ้ก็จะทำให้ผู้เล่นใช้จำนวนเกมที่ลดลงในการไปถึงเงินเป้าหมายที่จะหยุดเล่นและรับกำไรจากการเล่นครั้งนั้นๆไป หรือถ้าหากผู้เล่นไม่ระบุการชนะเป็นจำนวนเงินก็สามารถระบุเป็นจำนวนเกมได้เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลดีในแง่จิตวิทยาอีกด้วย เพราะผู้เล่นสามารถที่จะระบุเงินที่จะได้ขั้นต่ำ เช่นการชนะ 5 เกมด้วยเงินเดิมพัน 50 หน่วย จะได้เงินกลับมมาขั้นต่ำคือ 500 หน่วย ซึ่งสิ่งที่แตกต่างของทางเลือกนี้ก็คือการที่ผลตอบแทนมีการจ่ายเป็นทวีคูณ นั่นทำให้ทุกครั้งที่แพ้ติดต่อกันแล้วตีกลับมาชนะ ผู้เล่นจะได้เงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความรู้สึกของการแพ้ในการเล่นด้วยวิธีนี้ไม่น่ากลัวเท่าใดนัก แถมยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกได้ว่ายิ่งแพ้ติดกันก็ยิ่งได้เงินกลับมามากขึ้นอีกต่างหาก โดยที่โอกาส 50% และ 33% นั้นแทบไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันเลย หากว่าผู้เล่นไม่ได้จะเล่นติดต่อกันเป็นเวลานานหรือจำนวนหลายเกม และมีเป้าหมายเรื่องตัวเงินที่ชัดเจน